วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริงว่าข้อมูลบิดเบือนหรือปลอม

คำพิพากษาฎีกาที่ 2534/2565
ป.วิ.อ. ม. 158 (5), ม. 195 วรรคสอง, ม. 225
พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ม. 14 (1)
               โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จหรือที่บิดเบือน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษ...(1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา" 
               แต่ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายเพียงว่า จำเลยนำคำพูดที่โจทก์พูดกับจำเลยทางโทรศัพท์ว่า "การก้าวล่วงถึงบุพการีใคร ไม่สมควรที่สุจริตชนจะมาพูดกันง่าย ๆ ยกเว้นไม่ได้รับการสั่งสอนเหมือนกัน เข้าใจมั๊ยคะ คุณแม่" ไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจ แล้วจำเลยส่งภาพถ่ายรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานดังกล่าวไปในโปรแกรมไลน์ ให้ผู้ปกครองนักเรียนในกลุ่มนักเรียนที่เป็นเพื่อนกับบุตรจำเลย และพิมพ์ข้อความประกอบว่า "แจ้งบันทึกประจำวัน ได้รับการก่อกวนทางโทรศัพท์ และมีการดูหมิ่น ผู้ใหญ่เจอกันที่ศาลแขวงนนทบุรี เด็กเจอกันที่ศาลเยาวชนดุสิต" การกระทำของจำเลยดังกล่าว เป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จหรือที่บิดเบือนทั้งหมดหรือบางส่วน 
               โดยตามคำฟ้อง ไม่ปรากฏว่ารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน และข้อความที่จำเลยพิมพ์ส่งไปในโปรแกรมไลน์นั้น เป็นข้อมูลที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จอย่างไร และข้อความจริงมีอยู่อย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดี 
               จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ปัญหาว่าฟ้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ผู้เสียหายต่างคนกันแยกฟ้องและฟอกเงิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3957/2566
ป.อ. ม. 91
ป.วิ.อ. ม. 39 (4), ม. 195 วรรคสอง, ม. 225
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ม. 5 (1), ม. 60
                แม้บัญชีธนาคาร ก. สาขาซีคอนสแควร์ เลขที่บัญชี 659-1-32XXX-X ของจำเลยที่ 4 ที่มีการรับโอนเงินจากผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงในคดีนี้ เป็นบัญชีเดียวกับบัญชีที่รับโอนเงินจากผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงในคดีหมายเลขแดงที่ 1822/2561 ของศาลจังหวัดนครสวรรค์ และจำเลยที่ 4 ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 7 ในคดีดังกล่าว เรื่องความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและความผิดฐานฟอกเงินเช่นเดียวกับคดีนี้ก็ตาม แต่ผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงคดีนี้และคดีดังกล่าวเป็นคนละคนกัน และการรับโอนเงินจากผู้เสียหายทั้งสองคดีมาเข้าบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 4 ดังกล่าวต่างวันต่างเวลากัน แม้การกระทำความผิดมีลักษณะอย่างเดียวกัน แต่สามารถแยกเจตนาในการรับโอนเงินจากผู้เสียหายแต่ละคนต่างหากจากกันได้ จึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน แม้ในคดีดังกล่าวจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 7 ศาลจังหวัดนครสวรรค์จะได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว แต่เมื่อเป็นความผิดคนละกรรมกันกับคดีนี้ จึงถือไม่ได้ว่าคดีนี้ได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้วตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์คดีนี้ย่อมไม่ระงับ
                จำเลยที่ 3 และที่ 4 รู้อยู่ว่าบัญชีธนาคารของตนจะใช้เป็นแหล่งรับโอนเงินเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดที่มาของเงินที่เกี่ยวกับการกระทำผิด และเมื่อมีเงินของผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงได้ถูกยักย้ายนำมาเข้าบัญชีซึ่งปรากฏชื่อ จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นเจ้าของบัญชี ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 รับโอนหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นก่อนหรือหลังการกระทำความผิด มิให้ต้องรับโทษในความผิดมูลฐาน อันเป็นการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 (1), 60
                การที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และการแสดงตนเป็นคนอื่นโดยส่งภาพเต็มยศของพลตำรวจตรี ท. และเอกสารปลอมไปให้ผู้เสียหายทางไลน์ อันเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปลอมหรือเป็นเท็จ เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องและมีเจตนาเดียว คือเพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหายหรือผู้ถูกหลอกลวงอื่น ความผิดดังกล่าวตามฟ้องข้อ 2 และข้อ 4 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินนั้น พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มีเจตนารมณ์ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดมูลฐาน ที่ได้นำเงินหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมากระทำการในรูปแบบต่าง ๆ อันเป็นการฟอกเงิน เพื่อนำเงินหรือทรัพย์สินนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ในการกระทำความผิดต่อไปได้อีก 
                 ความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน จึงเป็นการกระทำความผิดที่เกิดภายหลัง เมื่อมีการกระทำความผิดฐานอื่น ๆ สำเร็จแล้ว และเป็นความผิดอีกส่วนหนึ่ง สามารถแยกเจตนาและการกระทำต่างจากการกระทำความผิดฐานอื่นนั้นได้ ความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินตามฟ้องข้อ 3 จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันฟอกเงินเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปลอมหรือเป็นเท็จนั้นเป็นการไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

วิธีการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

               แก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Call center) เป็นอาชญากรรมระดับชาติ เพราะก่ออาชญากรรมข้ามชาติอย่างน้อยสองประเทศขึ้นไป และมีการแบ่งหน้าที่กันทำหน้าที่ต่างๆ เช่น นายทุน ผู้จัดการ พนักงานคอลเซ็นเตอร์ ผู้นำเงินออกจากบัญชี ผู้รับจ้างเปิดบัญชี และผู้รวบรวมเงิน เป็นต้น โดยจะมีผู้ทำหน้าที่เสาะหาคนไทยจำพวกนักศึกษา สาวโรงงาน ลูกจ้างตามสถานบริการ หรือประชาชนในชนบทที่ห่างไกลให้เปิดบัญชีธนาคาร แล้วก็ขายสมุดเงินฝาก สมุดเอทีเอ็ม บัตรเอทีเอ็ม ให้กับกลุ่มคนร้ายนี้ เพื่อเอาไว้เป็นบัญชีสำหรับรับเงินที่โอนมาจากผู้เสียหายหรือรับโอนเงินได้มาจากการกระทำความผิด
              วิธีหลอกลวง ทำได้หลายวิธีเช่น เรื่องให้ไปกดตู้เอทีเอ็มเพื่อรับเงินคืนภาษี เรื่องแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร แจ้งว่า ผู้เสียหายมีปัญหาเรื่องหนี้บัตรเครดิตต้องระงับการกระทำทางธุรกรรมทางการเงินในบัญชีธนาคาร และแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ปปง. หลอกลวงยัดเยียดข้อหาว่าจะยึดทรัพย์ผู้เสียหายและดำเนินคดีฐานฟอกเงินเพราะบัญชีธนาคารเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดทางภาคเหนือ เป็นต้น
              ผู้ถูกหลอกลวงจะมีจุดอ่อน คือ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์และการรับฟังข้อมูลข่าวสารมาน้อย มีความโลภ ความหลง ความกลัว และมองคนในแง่ดีเกินไปเชื่อว่าคนส่วนใหญ่พูดความจริงแม้ว่ามองไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของผู้ที่โทรศัพท์คุยด้วยก็ตาม ลักษณะเช่นนี้จะเอื้ออำนวยให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้โดยง่าย ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุและข้าราชการวัยเกษียณ ซึ่งจะมีเงินเก็บก้อนใหญ่และต้องการความมั่นคงหลังจากเกษียนอายุราชการ ไม่อยากมีปัญหาเรื่องคดีความและจะค่อนข้างโดดเดี่ยวไม่มีญาติสนิทให้คำปรึกษาได้ทันท่วงที
              คนร้ายจะโทรศัพท์มาหาแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ พูดกับผู้เสียหายโดยใช้จิตวิทยาและเล่ห์เหลี่ยมโดยอาศัยจุดอ่อนดังกล่าว ทำทีแนะนำว่าจะช่วยเหลือไม่ให้เงินถูกอายัดหรือถูกดำเนินคดี ด้วยวิธีการโอนเงินในบัญชีของผู้เสียหายไปยังบัญชีธนาคารแห่งประเทศไทย โดยโอนผ่านตู้เอทีเอ็มพร้อมทั้งบอกให้กดรหัสต่างๆ เปลี่ยนเมนูเป็นภาษาอังกฤษ คนร้ายอ้างว่าต้องตรวจสอบว่าเงินของผู้เสียหายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดที่ถูกจับกุม แต่ความจริงแล้ว เป็นการที่ผู้เสียหายทำธุรกรรมโอนเงินจากบัญชีตนเองไปเข้าบัญชีที่คนร้ายว่าจ้างให้คนเปิดบัญชีไว้แล้ว การโอนเงินเข้าบัญชีอาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น โอนเงินผ่านระบบอีแบงค์กิ้ง (E-Banking) หรือโอนที่พนักงานเคาท์เตอร์ธนาคาร โดยคนร้ายจะขู่ให้เปิดโทรศัพท์ตลอดเวลาและไม่ยอมให้ผู้เสียหายพูดคุยกับพนักงานธนาคารหรือคนอื่นๆ กรณีที่ผู้เสียหายไม่มีบัตรเอทีเอ็ม ก็จะให้ใช้วิธีถอนเงินสดจากบัญชีมาโดยหลอกลวงว่าเพื่อทำการตรวจนับหมายเลขธนบัตรผ่านเครื่องรับฝากเงินอัตโนมัติ หรือตู้ CDM หรือ ADM เครื่องจะทำการตรวจนับครั้งละไม่เกิน 100,000 บาท แท้จริงแล้วเครื่องจะรับฝากไม่เกินครั้งละ 100,000 บาท แล้วเอาบัตรเอทีเอ็มของผู้เปิดบัญชีไปกดเอาเงินออกจากบัญชีที่ต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน จีน เป็นต้น
              การดำเนินคดี เจ้าพนักงานจะดำเนินการอายัดบัญชีของคนร้ายทั้งหมด แต่คนร้ายจะรีบถอนเงินออกจากบัญชีทันทีที่ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินมาให้ จนเงินแทบไม่เหลือในบัญชี นอกจากนี้ จะดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงินและดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการทั้งหมด
              การรับจ้างเปิดบัญชีเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่นเพื่อใช้ในการกระทำผิดนี้เข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดทางอาญาในฐานะเป็นตัวการร่วมหรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิดหรือฟอกเงิน ผู้ต้องหารับจ้างเปิดบัญชีรายหนึ่งให้การรับว่า มีคนรู้จักแนะนำให้ไปเปิดบัญชีธนาคารแห่งหนึ่งโดยจะได้ค่าเปิดบัญชี 500 บาท ซึ่งตอนนั้นอายุประมาณ 17 ปี และเสพยาบ้าด้วย ไม่มีเงินเสพยา จึงตัดสินใจรับจ้างไปเปิดบัญชีโดยไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ โดยไปรับจ้างเปิดไว้ 2 บัญชี ไม่ทราบว่าผู้ให้ไปเปิดบัญชี้นั้นเอาไปทำอะไร ส่วนผู้ต้องหาที่รับโอนเงินรายหนึ่งให้การรับว่า ได้รับว่าจ้างครั้งละหนึ่งหมื่นบาทให้หาคนมาเปิดบัญชีธนาคารและเก็บบัตรเอทีเอ็ม และให้ตนเป็นคนโอนเงินเข้าบัญชีของคนร้ายอีกคนหนึ่ง ซึ่งบัตรเอทีเอ็มกับสมุดบัญชีนี้จะใช้ในการหลอกลวงเอาเงินผู้อื่นอีกหลายคน
              การหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แม้จะมีข่าวสารเผยแพร่ให้ประชาชนได้เห็นอยู่ตามสื่อต่างๆ แต่ก็ยังมีประชาชนอีกมากที่ยังรู้ไม่เท่าทัน ถูกหลอกลวงจนต้องสูญเสียทรัพย์สินที่หาได้มาทั้งชีวิต บางรายหลงเชื่อถึงขั้นต้องไปกู้ยืมเงินมาโอนเข้าบัญชีของคนร้ายอีกด้วย จึงขอให้ผู้อ่านได้ช่วยประชาสัมพันธ์แก่มิตรสหายคนรอบข้าง หากพบเห็นพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลว่ามีคนกำลังถูกหลอกลวงก็ให้ความช่วยเหลือตักเตือนป้องกันมิให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินและรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของกลุ่มมิจฉาชีพในทันที
             (ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก วารสารยุติธรรม "คุยเฟื่องเรื่องกฎหมาย" ส่วนสื่อสารองค์กร สำนักงาน ปปง.)

บทความที่เกี่ยวข้อง
-  ฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ข้อความทางไลน์ใช้เป็นหลักฐานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2162/2567 
ป.พ.พ. ม. 653 วรรคหนึ่ง
พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544 ม. 7, ม. 8, ม. 9
               แม้จำเลยให้การรับว่า ได้รับเงินโอนจากโจทก์แล้วทั้งยี่สิบครั้ง และพิมพ์คำว่า "ตกลง" ในโปรแกรมไลน์ (LINE) ตามที่โจทก์ให้พิมพ์ แต่การรับของจำเลยเป็นการรับตามที่ปรากฏในฟ้องเท่านั้น จำเลยยังมีข้อต่อสู้ว่าการโอนเงินดังกล่าวไม่ใช่เป็นการกู้ยืมเงิน แต่เป็นการร่วมลงทุนประกอบธุรกิจออกแบบ ค้าขายเสื้อผ้า และส่งออกหน่อไม้ ในลักษณะของการตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งยังไม่มีการชำระบัญชี โจทก์จึงยังไม่สามารถฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลย 
               หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อของจำเลย ซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นผู้กู้ยืม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นพยานหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จริงหรือไม่ เมื่อการกู้ยืมเงินครั้งที่ 1 โจทก์อ้างเพียงสำเนาเอกสารที่ธนาคารออกให้เป็นหลักฐานว่า ธนาคารได้ทำการโอนเงิน 50,000 บาท เข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 เท่านั้น ไม่มีข้อความในเรื่องการกู้ยืมเงิน ถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมครั้งที่ 1 เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ยืมมาแสดง 
                ส่วนการกู้ยืมครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 ไม่ปรากฏข้อความที่จำเลยพิมพ์ตอบ "ตกลง" เพื่อตกลงการกู้ยืมเงินตามที่โจทก์อ้างว่า เป็นการกู้ยืมเงินครั้งดังกล่าวแต่อย่างใด ถือว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ยืมเป็นสำคัญมาแสดง โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีแก่จำเลยสำหรับการกู้ยืมครั้งที่ 1 ครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 ไม่ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง
                สำหรับการกู้ยืมเงินครั้งที่ 2 ถึงครั้งที่ 18 ซึ่งโจทก์ส่งข้อความถึงจำเลยในทำนองเดียวกันว่า "ช. จะจัดทำธุรกรรมให้ยืมเงินจำนวน (ระบุจำนวนเงิน) ให้แก่ ฐ. เพื่อใช้ลงทุนในธุรกิจ การกู้ยืมเงินนี้ไม่คิดดอกเบี้ยและยังไม่บังคับวันกำหนดชำระเงินคืน ลงวันที่... (พิมพ์ตกลงเพื่อยืนยัน)" ซึ่งจำเลยได้พิมพ์ข้อความว่า "ตกลง" ตอบกลับมาในโปรแกรมไลน์ (LINE) ซึ่งจำเลยรับว่ามีการส่งข้อความโต้ตอบเช่นนี้จริง 
                การสนทนาทางโปรแกรมไลน์ (LINE) เป็นการส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ถือว่าเป็นการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เมื่ออ่านข้อความสนทนาของโจทก์และจำเลยประกอบกันแล้ว ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงกัน โดยโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินและจำเลยตกลงกู้ยืมเงินแต่ละครั้ง ตามจำนวนที่ระบุในโปรแกรมไลน์ (LINE) แม้ไม่มีการลงลายมือชื่อจำเลยไว้ แต่เมื่อจำเลยยอมรับว่าส่งข้อความตอบตกลงการที่โจทก์จะให้กู้ยืมเงินจริง ข้อความสนทนาทางโปรแกรมไลน์ (LINE) จึงถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อของจำเลยผู้กู้ยืมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 7, 8, 9 โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีได้


หลอกลวงขายสินค้าทางเฟซบุ๊ก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2659/2567
ป.อ. ม. 91, ม. 341, ม. 343
ป.วิ.อ. ม. 195 วรรคสอง, ม. 225
พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ม. 14 วรรคหนึ่ง (1), ม. 14 วรรคสอง
                 โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยโดยทุจริตหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ผ่านทางโปรแกรมเฟซบุ๊กตามฟ้อง เสนอขายสินค้าซึ่งความจริงแล้วจำเลยไม่มีเจตนาขายสินค้าดังกล่าว ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าสินค้าให้แก่จำเลย แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องกล่าวหาด้วยว่าเป็นการหลอกลวงเสนอขายสินค้าต่อประชาชน อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ. มาตรา 343 และไม่ได้บรรยายว่าการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวนั้นน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน 
                 ส่วนบัญชีเฟซบุ๊กตามฟ้อง โจทก์ก็ไม่บรรยายว่าเฟซบุ๊กดังกล่าวเปิดเป็นสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ อันจะถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงประชาชน และการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จดังกล่าวน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน โจทก์จึงบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ. มาตรา 343 และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) 
                 จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 343 และปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกาปัญหานี้มา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้อง เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ตาม ป.อ. มาตรา 341 และ ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จอันเป็นการกระทำต่อบุคคลใด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ ย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้ 
                 การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ตาม ป.อ. มาตรา 91 ไม่ได้บัญญัติว่าการกระทำหลายกรรมนั้นจะเกิดขึ้นในวาระเดียวกันไม่ได้ การกระทำในวันและเวลาเดียวกันหรือต่อเนื่องในคราวเดียวกัน ก็อาจจะเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันได้ คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยหลอกลวงโดยการส่งข้อความเสนอขายสินค้าให้แก่ผู้เสียหายผ่านทางบัญชีเฟซบุ๊กตามฟ้อง รวม 2 ครั้ง และผู้เสียหายซื้อสินค้าต่างชนิดกัน 2 ครั้ง เป็นการหลอกลวงผู้เสียหายเพื่อให้ได้เงินจากผู้เสียหายในการซื้อสินค้าต่างชนิดกันรวม 2 ครั้ง จึงเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน