คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4920/2567
ป.อ. ม. 83, ม. 86, ม. 342 (1), ม. 343
ในวันที่จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคาร ท. สาขาเทสโก้โลตัส กำแพงแสน มีการห้ามเปิดบัญชีรับจ้างด้วยป้ายข้อความว่า การรับจ้างเปิดบัญชีหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีมีโทษทางกฎหมาย อยู่ในตำแหน่งที่จำเลยผู้เปิดบัญชีมองเห็นได้ง่าย จำเลยก็อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความถึงสาเหตุที่เปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. และบัญชีเงินฝากธนาคาร ห. ว่า นางสาวแคท ไม่ทราบชื่อและชื่อสกุลจริง ขอให้ช่วยเปิดบัญชีแล้วจะให้เงิน จำเลยถูกหลอกจึงเปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าวโดยได้รับเงินมาบัญชีละ 400 บาท และมอบสมุดบัญชีเงินฝากให้แก่นางสาวแคทไป คำเบิกความของจำเลยย่อมใช้ยันจำเลยได้และเจือสมพยานหลักฐานโจทก์ ถือว่าการเปิดบัญชีของจำเลยเป็นการรับจ้างเปิดบัญชีเงินฝากโดยได้รับค่าจ้างเป็นการตอบแทน ซึ่งปกติทั่วไปการเปิดบัญชีเงินฝากสำหรับฝากและเบิกถอนเงินนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ขอเปิดบัญชีในการทำธุรกรรมการเงินกับธนาคาร ผู้ขอเปิดบัญชีควรที่จะต้องเก็บสมุดบัญชีไว้กับตนเอง การรับจ้างเปิดบัญชีแล้วมอบสมุดบัญชีเงินฝากให้บุคคลอื่นไปใช้เป็นเรื่องผิดปกติวิสัย ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาร้ายของจำเลย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยเล็งเห็นได้ว่านางสาวแคท อาจเป็นผู้รับจัดหาคนมาเปิดบัญชีให้คนร้ายหรือร่วมกับคนร้ายอาจนำสมุดบัญชีเงินฝากของจำเลยไปใช้ในการกระทำความผิดกฎหมาย หรือแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ จำเลยจะอ้างว่าถูกหลอกใช้หาได้ไม่
การกระทำของจำเลย จึงเป็นกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนร้ายได้รับประโยชน์จากบัญชีเงินฝากของจำเลย ก่อนและขณะที่คนร้ายร่วมกันฉ้อโกงผู้เสียหายที่ 2 จำเลยจึงมีความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของผู้อื่นฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่นป.อ. ม. 83, ม. 86, ม. 342 (1), ม. 343
ในวันที่จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคาร ท. สาขาเทสโก้โลตัส กำแพงแสน มีการห้ามเปิดบัญชีรับจ้างด้วยป้ายข้อความว่า การรับจ้างเปิดบัญชีหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีมีโทษทางกฎหมาย อยู่ในตำแหน่งที่จำเลยผู้เปิดบัญชีมองเห็นได้ง่าย จำเลยก็อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความถึงสาเหตุที่เปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. และบัญชีเงินฝากธนาคาร ห. ว่า นางสาวแคท ไม่ทราบชื่อและชื่อสกุลจริง ขอให้ช่วยเปิดบัญชีแล้วจะให้เงิน จำเลยถูกหลอกจึงเปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าวโดยได้รับเงินมาบัญชีละ 400 บาท และมอบสมุดบัญชีเงินฝากให้แก่นางสาวแคทไป คำเบิกความของจำเลยย่อมใช้ยันจำเลยได้และเจือสมพยานหลักฐานโจทก์ ถือว่าการเปิดบัญชีของจำเลยเป็นการรับจ้างเปิดบัญชีเงินฝากโดยได้รับค่าจ้างเป็นการตอบแทน ซึ่งปกติทั่วไปการเปิดบัญชีเงินฝากสำหรับฝากและเบิกถอนเงินนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ขอเปิดบัญชีในการทำธุรกรรมการเงินกับธนาคาร ผู้ขอเปิดบัญชีควรที่จะต้องเก็บสมุดบัญชีไว้กับตนเอง การรับจ้างเปิดบัญชีแล้วมอบสมุดบัญชีเงินฝากให้บุคคลอื่นไปใช้เป็นเรื่องผิดปกติวิสัย ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาร้ายของจำเลย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยเล็งเห็นได้ว่านางสาวแคท อาจเป็นผู้รับจัดหาคนมาเปิดบัญชีให้คนร้ายหรือร่วมกับคนร้ายอาจนำสมุดบัญชีเงินฝากของจำเลยไปใช้ในการกระทำความผิดกฎหมาย หรือแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ จำเลยจะอ้างว่าถูกหลอกใช้หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2566
ป.อาญา มาตรา 86
การที่จำเลยที่ 2 รู้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนยังยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำบัญชีเงินฝากของตนไปใช้รับโอนเงินลงทุนที่จำเลยที่ 1 หลอกลวงผู้เสียหายทั้งสิบสาม ถือว่า เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดดังกล่าวตาม ป.อ. มาตรา 86 และต้องร่วมรับผิดในส่วนแพ่งกับจำเลยที่ 1 ด้วย
ป.อาญา มาตรา 86
การที่จำเลยที่ 2 รู้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนยังยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำบัญชีเงินฝากของตนไปใช้รับโอนเงินลงทุนที่จำเลยที่ 1 หลอกลวงผู้เสียหายทั้งสิบสาม ถือว่า เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดดังกล่าวตาม ป.อ. มาตรา 86 และต้องร่วมรับผิดในส่วนแพ่งกับจำเลยที่ 1 ด้วย
คําชี้ขาดความเห็นแย้งฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น
(ชี้ขาดความเห็นแย้งที่ 165/2555)
ป.อ. ตัวการ ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ฉ้อโกงประชาชน (มาตรา 83, 342 (1), 343)
ผู้เสียหายเป็นพยานยืนยันว่า ได้ถูกกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์ไปหลอกลวงผู้เสียหาย โดยคนแรกจะอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหลอกลวงผู้เสียหายเป็นหนี้บัตรเครดิต จากนั้น ได้โอนสายให้พวกคนที่สองอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะช่วยเหลือตรวจสอบให้และหลอกให้ผู้เสียหายนําสมุดบัญชีธนาคารไปทําบัตรเอทีเอ็มขึ้นใหม่ แล้วให้ผู้เสียหายนำบัตรดังกล่าวไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็มโดยกดเลขรหัสโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหาย จํานวน 199,988 บาท ไปเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ต้องหาที่ 1 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 2 ได้เบิกถอนเงินสดดังกล่าวออกจากบัญชีหลบหนีไป พฤติการณ์ของผู้ต้องหาทั้งสองกับพวกดังกล่าว เป็นลักษณะกระบวนการหลอกลวงประชาชนที่มีอยู่แพร่หลายในปัจจุบัน โดยกลุ่มคนร้ายจะสุ่มโทรศัพท์ไปยังหมายเลขต่าง ๆ ซึ่งผู้ถูกหลอกลวงหลงเชื่อบ้าง ไม่หลงเชื่อบ้าง ผู้เสียหายเป็นเพียงรายหนึ่งที่ถูกหลอกลวงให้โอนเงิน แม้จะตรวจสอบไม่ได้ว่าผู้ใดถูกหลอกลวงไปบ้าง พยานหลักฐานดังกล่าวฟังว่าเป็นการร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น
(ชี้ขาดความเห็นแย้งที่ 165/2555)
ป.อ. ตัวการ ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ฉ้อโกงประชาชน (มาตรา 83, 342 (1), 343)
ผู้เสียหายเป็นพยานยืนยันว่า ได้ถูกกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์ไปหลอกลวงผู้เสียหาย โดยคนแรกจะอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหลอกลวงผู้เสียหายเป็นหนี้บัตรเครดิต จากนั้น ได้โอนสายให้พวกคนที่สองอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะช่วยเหลือตรวจสอบให้และหลอกให้ผู้เสียหายนําสมุดบัญชีธนาคารไปทําบัตรเอทีเอ็มขึ้นใหม่ แล้วให้ผู้เสียหายนำบัตรดังกล่าวไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็มโดยกดเลขรหัสโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหาย จํานวน 199,988 บาท ไปเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ต้องหาที่ 1 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 2 ได้เบิกถอนเงินสดดังกล่าวออกจากบัญชีหลบหนีไป พฤติการณ์ของผู้ต้องหาทั้งสองกับพวกดังกล่าว เป็นลักษณะกระบวนการหลอกลวงประชาชนที่มีอยู่แพร่หลายในปัจจุบัน โดยกลุ่มคนร้ายจะสุ่มโทรศัพท์ไปยังหมายเลขต่าง ๆ ซึ่งผู้ถูกหลอกลวงหลงเชื่อบ้าง ไม่หลงเชื่อบ้าง ผู้เสียหายเป็นเพียงรายหนึ่งที่ถูกหลอกลวงให้โอนเงิน แม้จะตรวจสอบไม่ได้ว่าผู้ใดถูกหลอกลวงไปบ้าง พยานหลักฐานดังกล่าวฟังว่าเป็นการร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น
คำชี้ขาดความเห็นแย้งความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์
(ชี้ขาดความเห็นแย้งที่ ๗๕/๒๕๕๕)
ป.อ. ลักทรัพย์ ฉ้อโกง (มาตรา ๓๓๕, ๓๔๑, ๘๓)
ผู้ต้องหากับพวกซึ่งเป็นผู้หญิงมีเจตนาทุจริตวางแผนการมาแต่แรก ใช้วิธีการโอนทางตู้เอทีเอ็มของธนาคารในการหลอกลวงผู้เสียหาย แล้วพวกของผู้ต้องหาได้ทำการโทรศัพท์ติดต่อผู้เสียหายอ้างว่า โทรมาจากกรมสรรพากรแจ้งว่า ผู้เสียหายจะได้รับเงินภาษีคืนจำนวน ๑๒,๙๘๘ บาท ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อจะรับเงินโอนทางตู้เอทีเอ็มจึงสมัครใจดำเนินการทำธุรกรรมกับธนาคารทางตู้เอทีเอ็มโดยใช้บัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหายทำรายการตามที่พวกของผู้ต้องหาบอก จนเป็นเหตุให้เงินในบัญชีของผู้เสียหายจำนวน ๑๙๙,๖๘๘ บาท โอนเข้าไปบัญชีของผู้ต้องหาแล้วถูกถอนเงินออกทางตู้เอทีเอ็มทันที ผู้ต้องหากับพวกจึงได้เงินของผู้เสียหายไปเพราะการหลอกลวง ไม่ใช่ผู้ต้องหากับพวกเอาเงินของผู้เสียหายไปโดยพลการโดยทุจริต จึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ แต่การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง อัยการสูงสุดชี้ขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานร่วมกันลักทรัพย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น